คำไทยแท้และคำยืมภาษาต่างประเทศ

การยืมคำในภาษาไทย

ภาษาไทยมีมีตัวอักษรใช้เป็นของตนเองตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นโดยดัดแปลงมากจากอักษรขอมและมอญโบราณ ซึ่งได้วิวัฒนาการมาจากอักษรปัลลวะของอินเดียฝ่ายใต้และได้มีการปรับปรุงจนกลายเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน

ลักษณะเด่นของภาษาไทย

เป็นคำภาษาโดด มีคำใช้โดยอิสระ ไม่ต้องเปลี่ยนรูปเพื่อบอก เพศ,พจน์,กาล เช่น พ่อ,แม่,เขย,ลุงพระ เป็นคำแสดงเพศในตัว ฝูง,กอง,เดียว,เหล่า,เด็กๆ เป็นคำแสดงพจน์(จำนวน)ในตัวกำลัง,จะ,แล้ว,เพิ่ง,เมื่อวาน เป็นคำแสดงกาล(เวลา)ในตัว

คำไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียว เป็นคำที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัว เข้าใจได้ทันที
เช่น แมว,กบ,แม่,นอน,สวย,พ่อ,นา

สะกดตามมาตราตัวสะกดทั้ง ๘ มาตรา และไม่มีคำใช้ทัณฑฆาต หรือตัวการันต์
เช่น มาตราแม่กก สะกดด้วย ก: ปาก,มาก,นัก,จัก,บอก
มาตราแม่กด สะกดด้วย ด: ปาด,ลด,สอด,ปิด,จุด
มาตราแม่กบ สะกดด้วย บ: รบ,พบ,จับ,สิบ,งบ
มาตราแม่กง สะกดด้วย ง: ลง,ราง,พุ่ง,ว่าง,รอง,
มาตราแม่กน สะกดด้วย น: ฝัน,ปีน,กิน,ตน,นอน
มาตราแม่กม สะกดด้วย ม: นม,ตูม,นิ่ม,ขม,ซ้อม
มาตราแม่เกย สะกดด้วย ย: ย้าย,เฉย,รวย,หาย,สวย
มาตราแม่เกอว สะกดด้วย ว: ดาว,เลว,ชาว,ทิว,กิ่ว

มีเสียงวรรณยุกต์ทำให้ระดับเสียงต่างกัน,มีคำใช้กันมากขึ้น ,เกิดความไพเราะดังเสียง
ดนตรีและสามารถเลียนเสียงธรรมชาติได้อย่างไกล้เคียง

เช่น โฮ่งๆ,กุ๊กๆ,เจี๊ยบๆ,ฉ่าๆ,ตุ้มๆ, วรรณยุกต์สร้างคำเลียนเสียงธรรมชาติได้ อย่างใกล้เคียงนอง,น่อง,น้อง ;ไร,ไร่,ไร้ วรรณยุกต์ทำให้มีเสียงต่างกัน

การสร้างคำ ภาษาไทยมีการยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้และมีการสร้างคำใหม่
โดยการประสมคำ,ซ้ำคำ,ซ้อนคำ,การสมาส-สนธิ ฯลฯ เช่น พ่อมด,แม่น้ำ,วิ่งราว คือการนำคำไทยมาประสมกับคำไทย รางชอล์ก,เพลงเชียร์,ของฟรี, คือ
– การนำคำไทยมาประสมกับคำในภาษาอังกฤษ
มนุษย์+ศาสตร์ = มนุษยศาสตร์ ,ศิลป์+กรรม = ศิลปกรรม คือการนำคำจาก
– ภาษาสันสกฤตสมาสกับคำภาษาสันสกฤต
ราช + โอวาท = ราโชวาท ,อิฏฐ + อารมณ์ = อิฏฐารมณ์ คือการนำคำจากภาษา
บาลีสนธิกับคำภาษาบาลี

การเรียงคำในประโยค ภาษาไทยเรียงเป็นประโยคแบบ ประธาน + กริยา + กรรม (ฉันกินไก่)
ส่วนคำขยายจะเรียงไว้หลังที่ถูกขยายเสมอ เว้นแต่บอกปริมาณบางคำจะวางไว้ข้างหน้าหรือ
ข้างหลังที่ถูกขยายก็ได้ เช่น เธอวิ่งช้า,ฉันเขียนสวย คำขยายอยู่หลังคำถูกขยายมากคน
มากความ,มีหลายเรื่องที่อยากบอก คำบอกปริมาณอยู่หลังคำที่ถูกขยาย เดินคนเดียวล้ม
คนเดียว,เรือนสามน้ำสี่ คำบอกจำนวนอยู่หลังคำที่ถูกขยายส่วนคำขยายกริยา และมีกรรมมารับ
คำขยายจะอยู่หลังกรรม เช่น ฉันอ่านหนังสือมากมาย

มีลักษณนาม
ก. คำลักษณนามจะอยู่ข้างหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับ
เช่น ฉันรักแมวทั้ง ๑๐ ตัว เข้าได้รับบ้าน ๑ หลัง ที่ดิน ๒ แปลงเป็นมรดก *ถ้าใช้คำว่า “เดียว”
เป็นจำนวนนับ คำลักษณนามจะอยู่หน้าคำว่าเดียว เช่น ขวดเดียวก็เกินพอ
ข. คำลักษณนามตามหลังคำนามเพื่อลักษณะของนามนั้น
เช่น ปลาตัวใหญ่นี้แพงมาก, ที่ดินแปลงนี้สวยจริง ๆ ,เทียนเล่มแดงหายไปไหน

ภาษาไทยมีการแบ่งวรรคตอนเป็นจังหวะ การเขียนภาษาไทยจำเป็นต้องแบ่งวรรคตอน
ส่วนการพูดภาษาไทยก็จำเป็นต้องเว้นจังหวะให้ภฃถูกต้อง เพื่อความชัดเจนของข้อความ
ที่จะพูดและเขียนนั้นเช่น ยานี้กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน หมายความว่า ยานี้กินแล้วดี
ยานี้กินแล้วแข็ง แรงไม่มีโรค โรคภัยเบียดเบียน หมายความว่า ยานี้กินแล้วไม่ดี

ภาษาไทยมีคำเลือกใช้ตามกาละเทศะ การเลือกใช้คำให้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคล
แสดงถึงลักษณะของวัฒนธรรมทางภาษา สังคมไทยเป็นสังคมที่นับถืออาวุโส ทั้งคุณวุฒิ
วัยวุฒิ ชาาติวุฒิ จึงมีคำใช้ตามฐานะของบุคคลเพื่อแสดงถึงความยกย่องกันและกัน ภาษา
จึงมี “คำราชาศัพท์” ใช้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาษาไทย

พยัญชนะไทย
พยัญชนะในภาษาไทยมี ๒๑ เสียง ๔๔ รูป พยัญชนะที่เลิกใช้ไปแล้วคือ ฃ และ ฅ
รูปพยัญชนะ : ก ข ฅ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป
ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ

สระในภาษาไทย
สระในภาษาไทย มี ๒๔ เสียง ๒๑ รูป
เสียงสระ : อะ อา อิ อี อุ อู เอะ เอ แอะ แอ เออะ เออ โอะ โอ เอาะ ออ อัวะ อัว เอียะ
เอีย เอือะ เอือ *นอกจากนี้ยังมีสระเกิน คือ อำ ไอ ใอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ

วรรณยุกต์
วรรณยุกต์ในภาษาไทยมี ๕ เสียง ๔ รูป คือ ๑. สามัญ ๒. เอก ๓. โท ๔.ตรี ๕. จัตวา
ทั้งนี้กลุ่มอักษรสูง ๑๑ ตัว อักษรต่ำ ๒๔ ตัว ผันวรรณยุกต์ได้ ๓ เสียง
ส่วนอักษรกลาง ๙ ตัวผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง

การยืมภาษา
การยืมเป็นลักษณะของทุกภาษา ไม่ว่าภาษาใดที่ไม่มีภาษาอื่นเข้ามาปะปน
เมื่อแต่ละชาติต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีตกาลจนเกิดการนำคำหรือลักษณะทางภาษาของอีกภาษาเข้าไปใช้ในภาษาของตน

ประเภทของการยืมภาษา

  • ยืมเนื่องจากวัฒนธรรม กลุ่มที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมด้อยกว่าจะรับเอาวัฒนธรรมจาก
    กลุ่มที่มีความเจริญมากกว่า
  • ยืมเนื่องจากความใกล้ชิด การที่สองกลุ่มใช้ภาษาต่างกันร่วมสังคมเดียวกันหรือมีอาณาเขตใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์กันในชีวิตประจำวันทำให้เกิดการยืมภาษากันเกิดขึ้น
  • ยืมจากคนต่างกลุ่ม การยืมภาษาเดียวกันแต่เป็นภาษาของผู้ใช้ที่อยู่ในสภาพที่ต่างกัน

อิทธิพลของการยืม

การยืมทำให้ภาษาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย มีอิทธพลต่อวงศัพท์ซึ่งการยืมทำให้จำนวนศัพท์ในภาษามีการเพิ่มพูน เกิดวาระการใช้ศัพท์ต่างๆ กันเป็นคำไวพจน์ คือ คำที่มีความหมายเดียวกัน แต่เราเลือกใช้ตามโอกาสและตามความเหมาะสมทั้งยังมีประโยชน์ในการแต่งบทร้องกรองเพราะมีหลากคำ

ประวัติศาสตร์การยืมของประเทศไทย

ภาษาไทยมีการยืมจากภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนเป็นเวลานาน แล้ว แม้ในหลักศิลาจารึก
ของพ่อขุนรามคำแหงเมื่อปี พ.ศ. 1826 ก็ยังปรากฏคำยืมมาจากภาษาบาลีสันสกฤต และเขมรเข้ามาปะปนมากมาย
ประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างชาติมาช้านานย่อมทำให้มีภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนอยู่ในภาษา
ไทยเป็นจำนวนมาก เช่น เขมร จีน ชวา มลายู ญวน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย โปรตุเกส ฝรั่งเศส พม่า มอญ อังกฤษ

สาเหตุการยืมของภาษาไทย

  • ความสัมพันธ์ทางถิ่นฐาน การมีอาณาเขตติดต่อหรือใกล้เคียงกันกับมิตรประเทศ
  • ความสัมพันธ์ทางการค้า การติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับต่างประเทศ
  • ความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม การเผยแพร่ ศิลปะ วรรณคดี ของต่างประเทศ
    สู่ประเทศไทย
  • การศึกษาและการกีฬา การที่นักเรียนไทยไปศึกษาที่ต่างประเทศทำให้รับวิชาความรู้
    และวิทยาการมากมาย
  • ความสัมพันธ์ทางการฑูต การเจริญสัมพันธไมตรีซึ่งกันและกัน ระหว่างไทยกับต่างประเทศ